วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

เบย์เบลดในBeyblade X มีกี่ชนิดกันแน่

ในภาค Beyblade X นั้น ... "เบย์เบลด" หรือ "เบย์" แต่ละลูกนี้ เราก็สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ 

จากภาพ สัญลักษณ์ของแต่ละ Type จะแสดงอยู่ข้างกล่อง
(Credit ภาพ: Beyblade X FB Group)

1) Attack Type คือ สายโจมตี 

ลักษณะเด่น: ตีแรง แต่ก็หมดแรงไว

ตัวอย่างเช่น Dran Sword, Dran Dragger, Dran Buster เป็นต้น

BX-01 Dransword (Attack Type)

2) Defense Type คือ สายป้องกัน

ลักษณะเด่น: รับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม

ตัวอย่างเช่น Knight Shield, Knight Lance, Knight Mail เป็นต้น

3) Stamina Type คือ สายสเตมิน่า

ลักษณะเด่น: อึด และหมุนได้นาน แต่ไม่สามารถรับแรงกระแทกได้ดี ถ้าถูกตีก็จะเบิร์สง่าย

ตัวอย่างเช่น Wizard Arrow, Wizard Rod, Wyvern Gale เป็นต้น


4) Balance Type คือ สายที่มีความสามารถผสมระหว่าง 3 ประเภทแรก แต่จะไม่เด่นในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ตีได้กลางๆ แต่ก็ไม่เบิร์สง่าย หรือหมดแรงช้ากว่าสายตีเพียวๆ

ตัวอย่างเช่น Hellscythe, Hells Chain, Hells Hammer เป็นต้น    


ซึ่งในความเห็นของแอดฯ .. (ย้ำว่าเป็นเพียงความเห็นนะคะ) โดยส่วนใหญ่ ถ้าแบ่งตามความชอบของเบลดเดอร์ มักจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ

📍กลุ่มแรก ชอบเล่นสายตีไปเลย => เน้นเล่นสนุก ยิงแรงๆ ได้ แต่ต้องรู้จักตำแหน่งลงในสนาม และวิธีวางมือตอนชู้ต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าได้แต้มด้วยการชนคู่ต่อสู้ออกช่อง extreme ได้ จะยิ่งมันส์ 555+  

📍กลุ่มที่ 2 ชอบเล่นแบบหมุนนาน (สเตมิน่า) => นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับน้องๆ เบลดเดอร์ (โดยส่วนมากมักจะเป็นเด็กๆ ) เพราะไม่ต้องใช้เทคนิคในการชู้ตมากนัก ส่วนใหญ่จะเน้นชู้ตแรงเป็นหลัก

💥💥หมายเหตุ: แอดว่า สาย Balance เป็นสายที่จัดว่าเล่นยากสุดสำหรับมือใหม่ค่ะ เพราะบิทสายนี้จะต้องใช้ความชำนาญในการวางมือตอนชู้ต บวกกับแรงที่พอดีๆ เพราะมันวิ่งออกนอกสนามเองค่อนข้างง่ายมากเลยค่ะ


สืบเนื่องจากประเภทของเบย์ใน Beyblade X ซึ่งมีอยู่ 4 ประเภทดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น ก็เลยมีคำถามมาถามว่า “เอ๊ะ เค้าแบ่งประเภทจากอะไรกัน”

แอดฯ ขอตอบว่า .. "การแบ่งประเภทของเบย์นั้นจะดูจากตัวเบลด และบิท เป็นหลักค่ะ" 📍เริ่มจาก “เบลด” นี่ เราสามารถสังเกตได้จากลักษณะโดยรวมของแต่ละเบลด

- ถ้ามีแง่ง มีเหลี่ยมเยอะ อันนี้พอสรุปได้เลยว่า เป็นเบลดสายโจมตีแน่นอน

จากภาพ คือ เบลดฟีนิกซ์วิง ซึ่งเหมาะกับสายโจมตี

- ในขณะที่ ถ้าเป็นเบลดที่แลดูกลมๆ มนๆ แบบนี้ก็ค่อนข้างมั่นใจได้เลยว่าเป็นสายสเตมิน่า หรือสายป้องกันค่ะ


เบลด Wizard Rod เหมาะกับสายหมุนนาน

📍สำหรับในส่วนของ “บิท” เราสามารถสังเกตได้จากรูปทรงหน้าตัดของบิทค่ะ

- ถ้าหน้าตัดมีลักษณะเรียบ เพื่อสร้างแรงเสียดทานระหว่างพื้นสนามกับตัวเบย์ แบบนี้บิทสายโจมตีแน่ๆ

- ในขณะที่ถ้าหน้าตัดโค้ง มน หรือเป็นจุดสัมผัสสนามเล็กๆ แบบนี้ก็สายป้องกัน หรือสายสเตมิน่า เพื่อเอาไว้ช่วยในการหมุนให้ได้นานๆ นั่นเองค่ะ

*** ข้อควรรู้ที่สำคัญมากๆ เลยก็คือ ตรงก้านของบิท จะมี 2 ลักษณะ คือ

1) มีตัวกันเบิร์ส (Burst-lock) และ

2) ไม่มีตัวกันเบิร์ส

📍เพื่อกันความสับสน แอดขอขยายความอีกนิด ดังนี้ค่ะ

1) บิทแบบที่มีตัวกันเบิร์ส (Burst-lock) - ช่วยให้บิทหลุดออกจากตัวเบย์ยากขึ้น ได้แก่ บิทสายโจมตี และบิทสายบาลานซ์ เช่น F / LF / R / LR / T เป็นต้น 2) บิทแบบที่ไม่มีตัวกันเบิร์ส - เนื่องจากไม่มีแง่งล็อค ทำให้บิทหลุดออกง่ายเวลาเบย์ถูกชน ได้แก่ บิทสายป้องกัน และบิทสายสเตมิน่า เช่น B / FB / N / HN / O / DB เป็นต้น


📍เบลดเดอร์ท่านใดสนใจหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ "บิท"และวิถีการวิ่งของบิท (Bit) แต่ละชนิด 

สามารถอ่านได้ที่: https://ministryofbeybladex.blogspot.com/2025/03/blog-post_24.html


ถ้าเบลดเดอร์ท่านใดสนใจเนื้อหาดีๆ ที่ทางเพจเรานำเสนอ ก็อย่าลืมกด Like เพจ หรือ กด "ติดตาม" เพจไว้ด้วยเพื่อเป็นกำลังใจให้แอดฯ และทีมงานค่ะ
😆😆😆

https://www.facebook.com/profile.php?id=61572476524452

นอกจากนี้แล้ว แอดฯ ขอนำเสนอ Youtube Channel เพื่อให้เบลดเดอร์ที่สนใจได้ติดตามวิดีโอคอมโบเก่งๆ และเทคนิควิธีชู้ตจากโปรฯ เบลดเดอร์ได้อีกหนึ่งช่องทางค่ะ
https://www.youtube.com/@ministryofbeybladex


#เบเบลด #เบย์เบลด #beybladex #beyblade #ชนิดของเบย์เบลด