ในภาค Beyblade X นั้น ... "เบย์เบลด" หรือ "เบย์" แต่ละลูกนี้ เราก็สามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่
(Credit ภาพ: Beyblade X FB Group)
1) Attack Type คือ สายโจมตี
ลักษณะเด่น: ตีแรง แต่ก็หมดแรงไว
ตัวอย่างเช่น Dran Sword, Dran Dragger, Dran Buster เป็นต้น
2) Defense Type คือ สายป้องกัน
ลักษณะเด่น: รับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยม
ตัวอย่างเช่น Knight Shield, Knight Lance, Knight Mail เป็นต้น
3) Stamina Type คือ สายสเตมิน่า
ลักษณะเด่น: อึด และหมุนได้นาน แต่ไม่สามารถรับแรงกระแทกได้ดี ถ้าถูกตีก็จะเบิร์สง่าย
ตัวอย่างเช่น Wizard Arrow, Wizard Rod, Wyvern Gale เป็นต้น
4) Balance Type คือ สายที่มีความสามารถผสมระหว่าง 3 ประเภทแรก แต่จะไม่เด่นในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ตีได้กลางๆ แต่ก็ไม่เบิร์สง่าย หรือหมดแรงช้ากว่าสายตีเพียวๆ
ตัวอย่างเช่น Hellscythe, Hells Chain, Hells Hammer เป็นต้น
📍กลุ่มแรก ชอบเล่นสายตีไปเลย => เน้นเล่นสนุก ยิงแรงๆ ได้ แต่ต้องรู้จักตำแหน่งลงในสนาม
และวิธีวางมือตอนชู้ต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าได้แต้มด้วยการชนคู่ต่อสู้ออกช่อง
extreme ได้ จะยิ่งมันส์ 555+
📍กลุ่มที่ 2 ชอบเล่นแบบหมุนนาน (สเตมิน่า) =>
นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับน้องๆ เบลดเดอร์ (โดยส่วนมากมักจะเป็นเด็กๆ ) เพราะไม่ต้องใช้เทคนิคในการชู้ตมากนัก ส่วนใหญ่จะเน้นชู้ตแรงเป็นหลัก
💥💥หมายเหตุ: แอดว่า สาย Balance เป็นสายที่จัดว่าเล่นยากสุดสำหรับมือใหม่ค่ะ
เพราะบิทสายนี้จะต้องใช้ความชำนาญในการวางมือตอนชู้ต บวกกับแรงที่พอดีๆ
เพราะมันวิ่งออกนอกสนามเองค่อนข้างง่ายมากเลยค่ะ
แอดฯ ขอตอบว่า .. "การแบ่งประเภทของเบย์นั้นจะดูจากตัวเบลด และบิท เป็นหลักค่ะ" 📍เริ่มจาก “เบลด” นี่ เราสามารถสังเกตได้จากลักษณะโดยรวมของแต่ละเบลด
- ถ้ามีแง่ง มีเหลี่ยมเยอะ อันนี้พอสรุปได้เลยว่า เป็นเบลดสายโจมตีแน่นอน
จากภาพ คือ เบลดฟีนิกซ์วิง ซึ่งเหมาะกับสายโจมตี
- ในขณะที่ ถ้าเป็นเบลดที่แลดูกลมๆ มนๆ แบบนี้ก็ค่อนข้างมั่นใจได้เลยว่าเป็นสายสเตมิน่า หรือสายป้องกันค่ะ📍สำหรับในส่วนของ “บิท” เราสามารถสังเกตได้จากรูปทรงหน้าตัดของบิทค่ะ
- ถ้าหน้าตัดมีลักษณะเรียบ เพื่อสร้างแรงเสียดทานระหว่างพื้นสนามกับตัวเบย์ แบบนี้บิทสายโจมตีแน่ๆ
- ในขณะที่ถ้าหน้าตัดโค้ง มน หรือเป็นจุดสัมผัสสนามเล็กๆ แบบนี้ก็สายป้องกัน หรือสายสเตมิน่า เพื่อเอาไว้ช่วยในการหมุนให้ได้นานๆ นั่นเองค่ะ
*** ข้อควรรู้ที่สำคัญมากๆ เลยก็คือ ตรงก้านของบิท จะมี 2 ลักษณะ คือ
1) มีตัวกันเบิร์ส (Burst-lock) และ
2) ไม่มีตัวกันเบิร์ส
📍เพื่อกันความสับสน แอดขอขยายความอีกนิด ดังนี้ค่ะ
1) บิทแบบที่มีตัวกันเบิร์ส (Burst-lock) - ช่วยให้บิทหลุดออกจากตัวเบย์ยากขึ้น ได้แก่ บิทสายโจมตี และบิทสายบาลานซ์ เช่น F / LF / R / LR / T เป็นต้น 2) บิทแบบที่ไม่มีตัวกันเบิร์ส - เนื่องจากไม่มีแง่งล็อค ทำให้บิทหลุดออกง่ายเวลาเบย์ถูกชน ได้แก่ บิทสายป้องกัน และบิทสายสเตมิน่า เช่น B / FB / N / HN / O / DB เป็นต้น
📍เบลดเดอร์ท่านใดสนใจหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ "บิท"และวิถีการวิ่งของบิท (Bit) แต่ละชนิด
สามารถอ่านได้ที่: https://ministryofbeybladex.blogspot.com/2025/03/blog-post_24.html
https://www.facebook.com/profile.php?id=61572476524452