หวัดดีคับ นี่แอดแมวเอง .. เมี้ยวว หวังว่าบทความที่ผ่านๆ มาจะให้ความรู้และเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ 😆😆😆
สำหรับบทความนี้แอดแมว จะมาอธิบายในเรื่อง "บิท" (Bit) ...
👍นอกจากเบลด และแรทเชท แล้ว "บิท" คือ ชิ้นส่วนที่สำคัญมากๆ อย่างนึงในการเล่นเบย์เบลด เพราะมันคือตัวกำหนด "วิถีการวิ่ง" ของเบย์เบลดที่เราใช้เล่นเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้ว ณ ปัจจุบันนี้ Beyblade X ก็ออกเบลด แรทเชท และบิท ออกมาเยอะมากๆ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดสามารถดูได้ที่นี่ https://ministryofbeybladex.blogspot.com/2025/02/deck.html
📍ในบทความนี้แอดฯ จะขอหยิบยก "บิทมหานิยมตัวหลักๆ" ที่เบลดเดอร์นิยมใช้กันเป็นส่วนใหญ่ทั้งในสายโจมตี สเตมิน่า และบาลานซ์มาอธิบายให้เห็นลักษณะทางกายภาพและความแตกต่างในเรื่องวิถีการวิ่ง .. เพื่อที่เบลดเดอร์จะได้สามารถเลือก หรือนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสิ่งที่แต่ละคนต้องการ
สังเกตได้ว่า บิทของ Beyblade X นี้จะมีความแตกต่างอย่างนึงที่เห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับบิทในภาคเบิร์ส (จริงๆ ในภาคเบิร์ส จะเรียกว่า "ไดรเว่อร์") นั่นคือ "บิทของ Beyblade X จะมีเฟือง" เพื่อให้สามารถสอดรับกับเส้น Xtreme Line หรือ "ไลน์" ที่อยู่ในสนาม และส่งผลเป็นการช่วยเสริมพลังในการวิ่งของเบย์ฯ อย่างชัดเจน ทำให้เล่นสนุกขึ้นอีกมากมายเลยทีเดียว .. จากที่แอดฯ สังเกตมา "จำนวนเฟืองที่มากหรือน้อย" จะส่งผลต่อบิทแต่ละอัน ดังนี้
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- จำนวนเฟืองน้อย (10 เฟือง) เช่น บิท R, LR เวลาเข้าไลน์จะพุ่งไม่แรง เพราะเสียแรงน้อย ทำให้สามารถเข้าไลน์ได้หลายรอบ
- จำนวนเฟืองเยอะ (16 เฟือง) เช่น บิท A, H, L, GN ทำให้เวลาเข้าไลน์จะพุ่งแรง แต่ก็จะหมดแรงเร็วกว่าปกติ
🔥🔥🔥 ตัวอย่างเช่น เมื่อเทียบกับแรงที่เท่ากัน ผลที่ได้คือ 🔥🔥🔥
- บิท LF รูด 2-3 รอบ หมดแรง
- บิท F รูดได้ 3-4 รอบ
- บิท R รูดได้ 5-6 รอบ
📍เอาล่ะครับ ... เรามาเริ่มวิเคราะห์บิทกันเลยดีกว่า อย่างที่ทราบกันดีว่าเบย์ใน Beyblade X จะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท โดยการแบ่งประเภทนั้น ส่วนใหญ่เราจะพิจารณาจาก "ลักษณะของเบลด หรือบิท" ได้แก่
- เบย์สายโจมตี (Attack Type) => มาพร้อมบิทที่มีเบิร์สล็อค
- เบย์สายหมุนนาน (Stamina Type) => มาพร้อมบิทที่ไม่มีเบิร์สล็อค
- เบย์สายป้องกัน (Defense Type) => มาพร้อมบิทที่ไม่มีเบิร์สล็อค
- เบย์สายบาลานซ์ (Balance Type) => มาพร้อมบิทที่มีเบิร์สล็อค
💥หมายเหตุ: อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่: https://ministryofbeybladex.blogspot.com/2025/02/beyblade-x.html
👍เรามาเริ่มจากบิทสายโจมตี ... ซึ่งบิทสายโจมตีที่แอดฯ จะกล่าวถึง ได้แก่ บิท LF, F, R, LR, L
โดยจะกล่าวถึง "ลักษณะของวิถีการวิ่ง และผลที่ให้" ดังนี้
(หมายเหตุ: ภาพของบิทแต่ละตัวจะอยู่ด้านบนคำอธิบายนะคร้าบ)
บิท LF (Low Flat)- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- จะวิ่งไลน์กว้างที่สุด มีโอกาสแหกโค้งง่ายถ้าจูนเบย์มาไม่ดี หรือใช้แรงชู้ตที่มากเกินไป
- "จูนเบย์มาไม่ดี" หมายถึง เลือกใส่แรทเชทที่ไม่เหมาะสม นั่นเอง
- พื้นที่สัมผัสกับสนามเยอะทำให้เกิดแรงเสียดทานเยอะ (แรงบิดเยอะ) จึงส่งผลให้ตีแรง
- เนื่องจากแรงเสียดทานเยอะ แรงหมุนจึงหมดไว
- ความสูงจะเตี้ยกว่าบิท F ประมาณ 1 mm.
บิท F (Flat)
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- จะวิ่งไลน์แคบกว่า LF ทำให้แหกโค้งยากกว่าใช้บิท LF
- แรงบิดเวลาตีจะเบากว่า LF เพราะพื้นที่ผิวสัมผัสน้อยกว่า (มีแค่บริเวณขอบนอก) ทำให้เหวี่ยงเบากว่า
- เนื่องจากแรงเสียดทานน้อยกว่า ทำให้บิท F อยู่ในสนามได้นานกว่าบิท LF
บิท R (Rush)
- จำนวนเฟืองน้อย (10 เฟือง)
- เป็นบิทโจมตีที่มีพื่นที่สัมผัสพื้นน้อย
- และที่สำคัญ จำนวนเฟืองจะน้อยกว่าบิท LF/F ทำให้สามารถวิ่งเข้าไลน์ได้หลายรอบกว่า LF/F
- แต่แรงบิดในการโจมตีจะน้อยกว่าบิท LF/F และหมดแรงช้ากว่า
บิท LR (Low Rush)
- จำนวนเฟืองน้อย (10 เฟือง)
- ลักษณะโดยรวมจะคล้ายบิท R แต่เตี้ยกว่า เหมาะสำหรับใช้กับเบย์ที่เน้นโจมตีจากด้านล่าง
บิท L (Level)
- จำนวนเฟืองเยอะ (16 เฟือง)
- จะมี 3 ลักษณะการวิ่งในตัวเดียวกัน ขึ้นอยู่กับองศาการชู้ต คือ ชู้ตตรง ชู้ตเอียงน้อย ชู้ตเอียงมาก (ตรงนี้แอดฯ แนะนำว่า .. เบลดเดอร์แต่ละคนต้องไปทดลองดูว่าชอบแบบไหน เพราะแอดฯ เขียนอธิบายยากนะ เอียงมากเอียงน้อยของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีก) ประมาณวิ่งสลับหยุดนิ่งเหมือนบิท P
- ข้อดีคือวิ่งออกเองยากกว่าบิท P เพราะมีเบรก และตุ่มตรงกล่างช่วยให้หมุนได้นานขึ้น
👍ถัดมาเป็นบิทสายสเตมิน่า หรือสายหมุนนาน ... ได้แก่ บิท B, FB, DB, O
บิท B (Ball)
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- หน้าตัดจะกลม ทำให้ผิวสัมผัสกับพื้นสนามเป็นวงกลม (เหมือนลูกบอลกลิ้งบนพื้น) เมื่อโดนตีเลยสามารถกลิ้งไป-มาได้เร็ว
- ถ้าชู้ตด้วยแรงที่มากเกินไป หรือโดนโจมตีแล้วไถล มีโอกาสวิ่งเข้าไลน์ได้
- ถ้าเข้าไลน์ได้ แรงเหวี่ยงจะเยอะ จึงชอบเหินออกช่อง 2-3 แต้ม
บิท FB (Free Ball)
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- ลักษณะการวิ่งคล้ายบิท B แต่หน้าตัดจะเล็กกว่า B ทำให้โอกาสในการไถลออกไปเข้าไลน์น้อยกว่า จึงวิ่งเข้าไลน์ได้ยากกว่าบิท B
บิท DB (Disc Ball)
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- เหมือนบิท B แต่จะมีวงแหวนช่วยในเรื่องการทรงตัว ถ้าไม่โดนตีแตก จะหมุนและทรงตัวได้นานที่สุด
บิท O (Orb / Orbit)
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- หน้าตัดจะเล็กที่สุดในหมู่บิทสายหมุนนาน โอกาสโดนตีไถลออกน้อย และวิ่งเข้าไลน์น้อยกว่าบิท B
- แต่จะหมุนนานสู้บิท B ไม่ได้
👍ไปต่อกันด้วย บิทสายป้องกัน ... ได้แก่ บิท N, HN, S, D, UN
บิท N (Needle)
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- มีปลายแหลม สร้างความทนทาน และการทรงตัวที่สูงมาก
- โดยส่วนปลายแหลมจะทำหน้าที่เหมือนเป็นเข็มที่ปักอยู่ตรงกลางสนาม
- โดยมากจะเน้นใส่กับเบลดที่มีอัตราการสะท้อนกลับสูง เช่น Knight Shield เป็นต้น
บิท HN (High Needle)
บิท S (Spike)- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- มีปลายแหลม มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับ N แต่จะมีความสูงกว่าเล็กน้อย เสริมการทรงตัวที่ดีขึ้น
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- มีคุณสมบัติที่คล้ายกับ N เป็นบิทที่มีความสมดุลดี ทำให้มีโอกาสน้อยที่จะโยกคลอน หรือสูญเสียการหมุนเมื่อใช้กับเบลดที่มีน้ำหนักมาก หรือเน้นการสวนกลับ
บิท UN (Under Needle)
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- มีคุณสมบัติที่คล้ายกับ N แต่พัฒนาให้เป็นบิทที่มีลักษณะเด่นที่ "ความเตี้ย" ทำให้ยึดเกาะพื้นและป้องกันการโดนโจมตีแรทเชทได้อย่างดีเยี่ยม
👍และ บิทสายบาลานซ์ ... ได้แก่ บิท T, HT, H, E, P
บิท T
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)- เป็นส่วนผสมระหว่างบิท B กับบิท F ทำให้โจมตีได้แรงพอสมควร
- แต่ก็สามารถเหลือแรงไว้หมุนต่อได้นานกว่าบิทโจมตีเพียวๆ
- ถ้าชู้ตเอียง ส่วนที่สัมผัสพื้นสนามจะเป็นพื้นผิวที่โค้งมน ส่งผลให้วิถีวิ่งจะเป็นลักษณะวิ่งชาร์จ (เป็นรูปดอกไม้) อยู่กลางสนาม
- แต่ถ้าชู้ตตรง ส่วนที่สัมผัสพื้นสนามเป็นพื้นที่บริเวณขอบคล้ายบิท F ทำให้วิ่งเข้าไลน์ทันที แต่ก็ต้องระวังการเหวี่ยงหลุดเข้าช่อง Over ง่าย

บิท HT
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)- เหมือนบิท T แต่สูงกว่า ทำให้มีแรงเหวี่ยงมากกว่า
- ไลน์การวิ่งจะกว้างกว่าบิท T เหมาะสำหรับการใช้วิ่งเข้าตีเบย์คู่ต่อสู้แล้ววิ่งหนีออกมา
บิท H
- จำนวนเฟืองเยอะ (16 เฟือง)
- เป็นส่วนผสมระหว่างบิทป้องกัน กับ บิทหมุนนาน โดยความสามารถเด่นๆ คือการเคานเตอร์การโจมตีกลับไป แต่ต้องอาศัยแรงชู้ตที่มากพอถึงจะเริ่มวิ่งบ้าง (ไม่อยู่กับที่)
- ถ้าแรงชู้ตไม่พอ จะทำให้เบย์อยู่นิ่งๆ กลางสนามกลายเป็นเป้าได้ง่าย
- ถ้าแรงชู้ตมากเกินไป หรือโดนโจมตี แล้วทำให้วิ่งเข้าไลน์ ก็จะเสียแรงเยอะมาก เนื่องจากเฟืองเยอะ
บิท E
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- จุดเด่นคือการหมุนต่อไปหลังจากที่แรงหมุนจากตัวเองหมดแล้ว (ที่เรียกกันว่า "บี-บอย") เพราะฐานที่ใหญ่และโค้ง
- ไลน์วิ่งจะเหมือนเป็นการโฉบเฉี่ยวไปมา
- ถ้าชู้ตแรงเกินไป ทำให้มีโอกาสวิ่งเข้าไลน์แล้วเหินออกนอกสนามสูงมาก
บิท P
- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)
- เป็นส่วนผสมระหว่างบิทหมุนนาน กับบิทโจมตี
- เมื่อชู้ตลงไปตอนแรกจะโจมตีเหมือนบิท F แต่พอวิ่งไปสักพักจะมีสลับยืนนิ่งเพราะมีตุ่มอยู่ที่ใต้บิท
- หากต้องการให้เบย์ที่ใส่บิท P อยู่นิ่งๆ กลางสนาม โดยส่วนมากให้ชู้ตตรงๆ แต่หากต้องการให้เบย์ที่ใส่บิท P วิ่งโจมตี ให้ชู้ตเอียงๆ
📌นอกจากนี้ .. ยังมีรูปเพิ่มเติมเกี่ยวกับบิทที่น่าสนใจที่แอดฯ รวบรวมมาให้อีกด้วยครับ
📍สำหรับบิทอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนี้ที่แอดฯ ไม่ได้กล่าวถึงส่วนใหญ่จะเป็นบิทที่เบลดเดอร์ไม่ค่อยนิยมใช้กันสักเท่าไหร่ แต่ก็อาจเข้ามือเราก็ได้ ดังนั้น ถ้าเกิดความสงสัย แอดฯ สนับสนุนให้หามาทดลองด้วยตัวเองคับดีที่สุด
👍เบลดเดอร์ท่านใดสนใจเนื้อหาดีๆ ที่ทางเพจเรานำเสนอ ก็อย่าลืมกด Like เพจ หรือ กด "ติดตาม" เพจไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้แอดฯ ด้วยนะคะ 😆😆😆
https://www.facebook.com/profile.php?id=61572476524452
นอกจากนี้แล้ว ทางเพจกระทรวงเบย์เบลดก็มี YouTube Channel แล้วด้วยนะครับ ซึ่งเบลดเดอร์ท่านใดสนใจสามารถติดตามรับชมวิดีโอได้อีกหนึ่งช่องทางคร้าบ
https://www.youtube.com/@ministryofbeybladex#เบย์เบลด #เบเบลด #beybladethailand #เบย์เบลดX #เบเบลดเอ๊กซ์ #beybladex #beyblade #เทคนิคการเล่นเบย์เบลด #บิท #Bit #bit