วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2568

วิถีการวิ่งของ "บิท" แต่ละชนิด

หวัดดีคับ นี่แอดแมวเอง .. เมี้ยวว หวังว่าบทความที่ผ่านๆ มาจะให้ความรู้และเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ 😆😆😆

สำหรับบทความนี้แอดแมว จะมาอธิบายในเรื่อง "บิท" (Bit) ... 

👍นอกจากเบลด และแรทเชท แล้ว "บิท" คือ ชิ้นส่วนที่สำคัญมากๆ อย่างนึงในการเล่นเบย์เบลด เพราะมันคือตัวกำหนด "วิถีการวิ่ง" ของเบย์เบลดที่เราใช้เล่นเลยทีเดียว

จะว่าไปแล้ว ณ ปัจจุบันนี้ Beyblade X ก็ออกเบลด แรทเชท และบิท ออกมาเยอะมากๆ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดสามารถดูได้ที่นี่ https://ministryofbeybladex.blogspot.com/2025/02/deck.html 

📍ในบทความนี้แอดฯ จะขอหยิบยก "บิทมหานิยมตัวหลักๆ" ที่เบลดเดอร์นิยมใช้กันเป็นส่วนใหญ่ทั้งในสายโจมตี สเตมิน่า และบาลานซ์มาอธิบายให้เห็นลักษณะทางกายภาพและความแตกต่างในเรื่องวิถีการวิ่ง .. เพื่อที่เบลดเดอร์จะได้สามารถเลือก หรือนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสิ่งที่แต่ละคนต้องการ


สังเกตได้ว่า บิทของ Beyblade X นี้จะมีความแตกต่างอย่างนึงที่เห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับบิทในภาคเบิร์ส (จริงๆ ในภาคเบิร์ส จะเรียกว่า "ไดรเว่อร์") นั่นคือ "บิทของ Beyblade X จะมีเฟือง" เพื่อให้สามารถสอดรับกับเส้น Xtreme Line หรือ "ไลน์" ที่อยู่ในสนาม และส่งผลเป็นการช่วยเสริมพลังในการวิ่งของเบย์ฯ อย่างชัดเจน ทำให้เล่นสนุกขึ้นอีกมากมายเลยทีเดียว .. จากที่แอดฯ สังเกตมา "จำนวนเฟืองที่มากหรือน้อย" จะส่งผลต่อบิทแต่ละอัน ดังนี้ 

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)

- จำนวนเฟืองน้อย (10 เฟือง) เช่น บิท R, LR เวลาเข้าไลน์จะพุ่งไม่แรง เพราะเสียแรงน้อย ทำให้สามารถเข้าไลน์ได้หลายรอบ 

- จำนวนเฟืองเยอะ (16 เฟือง) เช่น บิท A, H,  L, GN ทำให้เวลาเข้าไลน์จะพุ่งแรง แต่ก็จะหมดแรงเร็วกว่าปกติ

🔥🔥🔥 ตัวอย่างเช่น เมื่อเทียบกับแรงที่เท่ากัน ผลที่ได้คือ 🔥🔥🔥

    • บิท LF รูด 2-3 รอบ หมดแรง
    • บิท F รูดได้ 3-4 รอบ
    • บิท R รูดได้ 5-6 รอบ 

จากภาพ คือ BX-00 บิท 4 อัน สีดำ-ทอง ที่เป็นกล่องแรร์

📍เอาล่ะครับ ... เรามาเริ่มวิเคราะห์บิทกันเลยดีกว่า อย่างที่ทราบกันดีว่าเบย์ใน Beyblade X จะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท โดยการแบ่งประเภทนั้น ส่วนใหญ่เราจะพิจารณาจาก "ลักษณะของเบลด หรือบิท" ได้แก่ 

- เบย์สายโจมตี (Attack Type) => มาพร้อมบิทที่มีเบิร์สล็อค

- เบย์สายหมุนนาน (Stamina Type) => มาพร้อมบิทที่ไม่มีเบิร์สล็อค

- เบย์สายป้องกัน (Defense Type) => มาพร้อมบิทที่ไม่มีเบิร์สล็อค

- เบย์สายบาลานซ์ (Balance Type) => มาพร้อมบิทที่มีเบิร์สล็อค

💥หมายเหตุ: อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่: https://ministryofbeybladex.blogspot.com/2025/02/beyblade-x.html 



จากภาพคือชิ้นส่วนจาก Beyblade X (UX-10)

👍เรามาเริ่มจากบิทสายโจมตี ... ซึ่งบิทสายโจมตีที่แอดฯ จะกล่าวถึง ได้แก่ บิท LF, F, R, LR, L 

โดยจะกล่าวถึง "ลักษณะของวิถีการวิ่ง และผลที่ให้" ดังนี้ 

(หมายเหตุ: ภาพของบิทแต่ละตัวจะอยู่ด้านบนคำอธิบายนะคร้าบ)

บิท LF (Low Flat)

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)

- จะวิ่งไลน์กว้างที่สุด มีโอกาสแหกโค้งง่ายถ้าจูนเบย์มาไม่ดี หรือใช้แรงชู้ตที่มากเกินไป 

- "จูนเบย์มาไม่ดี" หมายถึง เลือกใส่แรทเชทที่ไม่เหมาะสม นั่นเอง

- พื้นที่สัมผัสกับสนามเยอะทำให้เกิดแรงเสียดทานเยอะ (แรงบิดเยอะ) จึงส่งผลให้ตีแรง

- เนื่องจากแรงเสียดทานเยอะ แรงหมุนจึงหมดไว

- ความสูงจะเตี้ยกว่าบิท F ประมาณ 1 mm. 

บิท F (Flat)

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- จะวิ่งไลน์แคบกว่า LF ทำให้แหกโค้งยากกว่าใช้บิท LF 

- แรงบิดเวลาตีจะเบากว่า LF เพราะพื้นที่ผิวสัมผัสน้อยกว่า (มีแค่บริเวณขอบนอก) ทำให้เหวี่ยงเบากว่า 

- เนื่องจากแรงเสียดทานน้อยกว่า ทำให้บิท F อยู่ในสนามได้นานกว่าบิท LF 

 

บิท R (Rush)

- จำนวนเฟืองน้อย (10 เฟือง) 

- เป็นบิทโจมตีที่มีพื่นที่สัมผัสพื้นน้อย 

- และที่สำคัญ จำนวนเฟืองจะน้อยกว่าบิท LF/F ทำให้สามารถวิ่งเข้าไลน์ได้หลายรอบกว่า LF/F 

- แต่แรงบิดในการโจมตีจะน้อยกว่าบิท LF/F และหมดแรงช้ากว่า

บิท LR (Low Rush)

- จำนวนเฟืองน้อย (10 เฟือง) 

- ลักษณะโดยรวมจะคล้ายบิท R แต่เตี้ยกว่า เหมาะสำหรับใช้กับเบย์ที่เน้นโจมตีจากด้านล่าง

บิท L (Level)

- จำนวนเฟืองเยอะ (16 เฟือง)

- จะมี 3 ลักษณะการวิ่งในตัวเดียวกัน ขึ้นอยู่กับองศาการชู้ต คือ ชู้ตตรง ชู้ตเอียงน้อย ชู้ตเอียงมาก (ตรงนี้แอดฯ แนะนำว่า .. เบลดเดอร์แต่ละคนต้องไปทดลองดูว่าชอบแบบไหน เพราะแอดฯ เขียนอธิบายยากนะ เอียงมากเอียงน้อยของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีก) ประมาณวิ่งสลับหยุดนิ่งเหมือนบิท P

- ข้อดีคือวิ่งออกเองยากกว่าบิท P เพราะมีเบรก และตุ่มตรงกล่างช่วยให้หมุนได้นานขึ้น 

👍ถัดมาเป็นบิทสายสเตมิน่า หรือสายหมุนนาน ... ได้แก่ บิท B, FB, DB, O


บิท B (Ball)

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- หน้าตัดจะกลม ทำให้ผิวสัมผัสกับพื้นสนามเป็นวงกลม (เหมือนลูกบอลกลิ้งบนพื้น) เมื่อโดนตีเลยสามารถกลิ้งไป-มาได้เร็ว 

- ถ้าชู้ตด้วยแรงที่มากเกินไป หรือโดนโจมตีแล้วไถล มีโอกาสวิ่งเข้าไลน์ได้ 

- ถ้าเข้าไลน์ได้ แรงเหวี่ยงจะเยอะ จึงชอบเหินออกช่อง 2-3 แต้ม

 

บิท FB (Free Ball)

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง)  

- ลักษณะการวิ่งคล้ายบิท B แต่หน้าตัดจะเล็กกว่า B ทำให้โอกาสในการไถลออกไปเข้าไลน์น้อยกว่า จึงวิ่งเข้าไลน์ได้ยากกว่าบิท B

 

บิท DB (Disc Ball)

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- เหมือนบิท B แต่จะมีวงแหวนช่วยในเรื่องการทรงตัว ถ้าไม่โดนตีแตก จะหมุนและทรงตัวได้นานที่สุด

 

บิท O (Orb / Orbit)

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- หน้าตัดจะเล็กที่สุดในหมู่บิทสายหมุนนาน โอกาสโดนตีไถลออกน้อย และวิ่งเข้าไลน์น้อยกว่าบิท B

- แต่จะหมุนนานสู้บิท B ไม่ได้


👍ไปต่อกันด้วย บิทสายป้องกัน ... ได้แก่ บิท N, HN, S, D, UN


บิท N (Needle)

จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- มีปลายแหลม สร้างความทนทาน และการทรงตัวที่สูงมาก 

- โดยส่วนปลายแหลมจะทำหน้าที่เหมือนเป็นเข็มที่ปักอยู่ตรงกลางสนาม 

- โดยมากจะเน้นใส่กับเบลดที่มีอัตราการสะท้อนกลับสูง เช่น Knight Shield เป็นต้น

บิท HN (High Needle)

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- มีปลายแหลม มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับ N  แต่จะมีความสูงกว่าเล็กน้อย เสริมการทรงตัวที่ดีขึ้น

บิท S (Spike)

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- มีคุณสมบัติที่คล้ายกับ N เป็นบิทที่มีความสมดุลดี ทำให้มีโอกาสน้อยที่จะโยกคลอน หรือสูญเสียการหมุนเมื่อใช้กับเบลดที่มีน้ำหนักมาก หรือเน้นการสวนกลับ

บิท UN (Under Needle)

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- มีคุณสมบัติที่คล้ายกับ N แต่พัฒนาให้เป็นบิทที่มีลักษณะเด่นที่ "ความเตี้ย" ทำให้ยึดเกาะพื้นและป้องกันการโดนโจมตีแรทเชทได้อย่างดีเยี่ยม


👍และ บิทสายบาลานซ์ ... ได้แก่ บิท T, HT, H, E, P

บิท T 

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- เป็นส่วนผสมระหว่างบิท B กับบิท F ทำให้โจมตีได้แรงพอสมควร 

- แต่ก็สามารถเหลือแรงไว้หมุนต่อได้นานกว่าบิทโจมตีเพียวๆ

- ถ้าชู้ตเอียง ส่วนที่สัมผัสพื้นสนามจะเป็นพื้นผิวที่โค้งมน ส่งผลให้วิถีวิ่งจะเป็นลักษณะวิ่งชาร์จ (เป็นรูปดอกไม้) อยู่กลางสนาม

- แต่ถ้าชู้ตตรง ส่วนที่สัมผัสพื้นสนามเป็นพื้นที่บริเวณขอบคล้ายบิท F ทำให้วิ่งเข้าไลน์ทันที แต่ก็ต้องระวังการเหวี่ยงหลุดเข้าช่อง Over ง่าย  


บิท HT

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- เหมือนบิท T แต่สูงกว่า ทำให้มีแรงเหวี่ยงมากกว่า

- ไลน์การวิ่งจะกว้างกว่าบิท T เหมาะสำหรับการใช้วิ่งเข้าตีเบย์คู่ต่อสู้แล้ววิ่งหนีออกมา

 

บิท H

- จำนวนเฟืองเยอะ (16 เฟือง) 

- เป็นส่วนผสมระหว่างบิทป้องกัน กับ บิทหมุนนาน โดยความสามารถเด่นๆ คือการเคานเตอร์การโจมตีกลับไป แต่ต้องอาศัยแรงชู้ตที่มากพอถึงจะเริ่มวิ่งบ้าง (ไม่อยู่กับที่) 

- ถ้าแรงชู้ตไม่พอ จะทำให้เบย์อยู่นิ่งๆ กลางสนามกลายเป็นเป้าได้ง่าย

- ถ้าแรงชู้ตมากเกินไป หรือโดนโจมตี แล้วทำให้วิ่งเข้าไลน์ ก็จะเสียแรงเยอะมาก เนื่องจากเฟืองเยอะ 

 

บิท E

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- จุดเด่นคือการหมุนต่อไปหลังจากที่แรงหมุนจากตัวเองหมดแล้ว (ที่เรียกกันว่า "บี-บอย") เพราะฐานที่ใหญ่และโค้ง

- ไลน์วิ่งจะเหมือนเป็นการโฉบเฉี่ยวไปมา

- ถ้าชู้ตแรงเกินไป ทำให้มีโอกาสวิ่งเข้าไลน์แล้วเหินออกนอกสนามสูงมาก 

บิท P

- จำนวนเฟืองปกติ (12 เฟือง) 

- เป็นส่วนผสมระหว่างบิทหมุนนาน กับบิทโจมตี 

- เมื่อชู้ตลงไปตอนแรกจะโจมตีเหมือนบิท F แต่พอวิ่งไปสักพักจะมีสลับยืนนิ่งเพราะมีตุ่มอยู่ที่ใต้บิท

- หากต้องการให้เบย์ที่ใส่บิท P อยู่นิ่งๆ กลางสนาม โดยส่วนมากให้ชู้ตตรงๆ แต่หากต้องการให้เบย์ที่ใส่บิท P วิ่งโจมตี ให้ชู้ตเอียงๆ   

 

📌นอกจากนี้ .. ยังมีรูปเพิ่มเติมเกี่ยวกับบิทที่น่าสนใจที่แอดฯ รวบรวมมาให้อีกด้วยครับ

Credit ภาพ จาก Reddit


Credit ภาพ จาก MakerWorld



Credit ภาพ จาก Beybase

📍สำหรับบิทอื่นๆ ที่นอกเหนือจากนี้ที่แอดฯ ไม่ได้กล่าวถึงส่วนใหญ่จะเป็นบิทที่เบลดเดอร์ไม่ค่อยนิยมใช้กันสักเท่าไหร่ แต่ก็อาจเข้ามือเราก็ได้ ดังนั้น ถ้าเกิดความสงสัย แอดฯ สนับสนุนให้หามาทดลองด้วยตัวเองคับดีที่สุด 

👍เบลดเดอร์ท่านใดสนใจเนื้อหาดีๆ ที่ทางเพจเรานำเสนอ ก็อย่าลืมกด Like เพจ หรือ กด "ติดตาม" เพจไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้แอดฯ ด้วยนะคะ 😆😆😆

https://www.facebook.com/profile.php?id=61572476524452

นอกจากนี้แล้ว ทางเพจกระทรวงเบย์เบลดก็มี YouTube Channel แล้วด้วยนะครับ ซึ่งเบลดเดอร์ท่านใดสนใจสามารถติดตามรับชมวิดีโอได้อีกหนึ่งช่องทางคร้าบ 

https://www.youtube.com/@ministryofbeybladex


#เบย์เบลด #เบเบลด #beybladethailand #เบย์เบลดX #เบเบลดเอ๊กซ์ #beybladex #beyblade #เทคนิคการเล่นเบย์เบลด #บิท #Bit #bit